วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ประวัติลีลาศในต่างประเทศ


 ในปี ค.ศ. 1588 พระชาวฝรั่งเศสชื่อ โตอิโน อาโบ (Thoinnot Arbeau: ค.ศ. 1519-1589) ได้พิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเต้นรำ ชื่อ ออเชโซกราฟี (Orchesographin) ในหนังสือได้บรรยายถึงการเต้นรำแบบต่างๆหลายแบบ เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก บันทึกถึงการเต้นรำที่นิยมใช้กันในบ้านขุนนางต่างๆ ในยุโรประหว่างศตวรรษที่ 16   งานเลี้ยงฉลองได้ถูกจัดขึ้นตามโอกาสต่างๆเช่น วันเกิด การแต่ง งาน และการต้อนรับแขกที่มาเยือนในงานจะรวมพวกการเต้นรำ การประพันธ์ การดนตรี และการจัดฉากละครด้วย ขุนนางผู้หนึ่งชื่อ  Lorenzo de Medlci  ได้จัดงานขึ้นที่คฤหาสน์ของตน โดยตกแต่งคฤหาสน์ด้วยสีสันต่างๆ และจัดให้มีการแข่งขันหลายๆอย่าง รวมทั้ง การเต้นรำสวมหน้ากาก (Mask Dance) ซึ่งต้องใช้จังหวะ ดนตรีประกอบการเต้น
        พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิซี (Catherine de Medicis ) พระราชินีในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 เดิมเป็นชาวฟลอเรนซ์แห่งอิตาลี พระองค์ได้นำคณะเต้นรำของอิตาลีมาเผยแพร่ในพระราชวังของฝรั่งเศส และเป็นจุดเริ่มต้นของระบำบัลเล่ย์  พระองค์ได้จัดให้มีการแสดง บัลเล่ย์โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย
ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้ปรับปรุงและพัฒนาการบัลเล่ย์ใหม่ได้ตั้งโรงเรียนบัลเล่ย์ขึ้นแห่งแรก ชื่อ Academic Royale de Dance จนทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของยุโรป พระองค์คลุกคลีกับวงการบัลเล่ย์มาไม่น้อย กว่า 200 ปี โดยพระองค์ทรงร่วมแสดงด้วย บทบาทที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ บทเทพอพอลโลของกรีก จนพระองค์ได้รับสมญา นามว่า พระราชาแห่งดวงอาทิตย์การบัลเล่ย์ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์มาก
            การเต้นระบำบัลเล่ย์ในพระราชวังนี้เป็นพื้นฐานของการลีลาศ การเต้นรำในปี ค.ศ. 1700 ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ Gavotte,Allemande และMinuet รูปแบบการเต้นจะประกอบด้วยการก้าวเดินหรือวิ่ง การร่อนถลา การขึ้นลงของลำตัว การโค้ง และถอน สายบัว ภายหลังได้แพร่ไปสู่ยุโรปและอเมริกา เป็นที่ชื่นชอบของ ยอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกามาก   การเต้นรำใน  อังกฤษซึ่งเป็นการเต้นรำพื้นเมืองและนิยมกันมากในยุโรป เรียกว่า Country Dance ภายหลังได้แพร่ไปสู่อาณานิคมตอนใต้ของอเมริกา
สมัยก่อน การแสดงบัลเล่ย์มักจะแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับเทพเจ้า เทพธิดา แต่สมัยนี้มุ่งแสดงเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาสามัญ เป็นเรื่องง่ายๆและ จินตนาการ   ในสมัยที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศส ( ค.ศ. 1789 ) ได้มีการกวาดล้างพวกกษัตริย์และพวกขุนนางไป เกิดความรู้สึกอย่างใหม่ คือ ความมีอิสระเสรีเท่าเทียมกัน เกิดการเต้นวอลซ์ ซึ่งรับมาจากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเชื่อกันว่ามีรากฐานมาจากการเต้น Landler การเต้นวอลทซ์ได้แพร่หลายไปสู่ประเทศที่เจริญแล้วในยุโรปตะวันตก    เนื่องจากการเต้นวอลซ์อนุญาตให้ชายจับมือและเอว ของคู่เต้นรำได้   จึงถูกคณะพระคริสประณามว่าไม่เหมาะสมและไม่สุภาพเรียบร้อย   ในช่วงปี ค.ศ. 1800-1900  การเต้นรำใหม่ๆที่เป็นที่ นิยมกันมากในยุโรปและอเมริกา จะเริ่มต้นจากคนธรรมดาสามัญโดยการเต้นรำพื้นเมือง พวกขุนนางเห็นเข้าก็นำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับ ราชสำนัก เช่น การเต้น โพลก้า วอลซ์ ซึ่งกลายเป็นที่นิยมมากของคนชั้นกลางและชั้นสูง  ในอเมริการูปแบบใหม่ในการเต้นรำที่นิยมมาก ในหมู่ชนชั้นกรรมาชีพและพวกที่ยากจน คน ผิวดำนิยมเต้น Tap-Danced หรือระบำย่ำเท้า โดยรวมเอาการเต้นรำพื้นเมืองในแอฟริกา การ เต้นแบบจิ๊ก  ( jig) ของชาวไอริส และการเต้นรำแบบคล๊อก (Clog) ของชาวอังกฤษเข้าด้วยกัน คนผิวดำมักจะเต้นไปตามถนนหนทาง   ก่อนปี ค.ศ. 1870  การเต้นรำได้ขยายไปสู่เมืองต่างๆในอเมริกา ผู้หญิงที่ชอบร้องเพลงประสานเสียงจะเต้นระบำแคนแคน (Can-Can ) โดยใช้การเตะเท้าสูงๆ เพื่อเป็นสิ่งบันเทิงใจแก่พวกโคบาลที่อยู่ตามชายแดนอเมริกา ระบำแคน แคน
  จังหวะวอลซ์จากกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 17 แต่มิได้     เผยแพร่ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1816  จังหวะวอลซ์ ได้ถูกนำมาเผยแพร่ต่อที่ประชุมโดยพระเจ้ายอร์ชที่ 4 แม้จะไม่สมบูรณ์นักในขณะนั้น แต่ก็จัดว่าจังหวะวอลซ์เป็นจังหวะแรกของการลีลาศแท้จริง เพราะคู่ลีลาศสามารถจับคู่เต้นรำได้
ในราวปี ค.ศ. 1840  การเต้นรำบางอย่างกลับมาเป็นที่นิยมอีก อาทิ โพลก้า จากโบฮิเมีย ซึ่งเป็นที่นิยมมากในเวียนนา ปารีส และลอนดอน จังหวะมาเซอก้า( Mazuka) จากโปแลนด์ก็เป็นที่นิยมมากในยุโรปตะวันตก
ในราวกลางศตวรรที่ 19 การเต้นรำใหม่ๆก็เกิดขึ้นอีกมาก อาทิ การเต้นมิลิตารี่ สก๊อตติช (Millitary Schottische) การเต้นเค็กวอล์ค (Cakewalk) ซึ่งเป็นการเต้นรำแบบหนึ่งของพวกนิโกรในอเมริกา การเต้นทูสเตป (Two-Step) การเต้นบอสตัน (Boston) และการเต้นเตอรกีทรอท (Turkey trot)
          ในศตวรรษที่ 20 ค.ศ. 1910 จังหวะแทงโก้จากอาร์เจนตินา เริ่มเผยแพร่ที่ปารีส เป็นจังหวะที่แปลกและเต้นสวยงามมากในระหว่างปี ค.ศ. 1912-1914 Vemon และ lrene Castle ได้นำรูปแบบการเต้นรำแบบใหม่ๆ จากอังกฤษมาเผยแพร่ในอเมริกาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้แก่จังหวะฟอกซ์ทรอทและแทงโก้

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระบบประสาท ระบบสืบพันธู์ ระบบต่อมไร้ท่อ


อวัยวะทุกส่วนในร่างกายทำงานเป็นระบบ ทุกระบบต่างมีความสำคัญต่อร่างกาย เราจึงควรรู้จักบำรงและดูแลอวัยวะทุกๆส่วนให้แข็งแรงอยู่เสมอ ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์นับล้านๆเซลล์กลุ่มเซลล์ที่ร่วมกันทำหน้าที่ เฉพาะอย่างเรียกว่าเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อรวมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะหลายๆอวัยวะทำงานประสานกันเกิดเป็นระบบที่สำคัญต่างๆในร่างกาย ทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ต้องทำงานสอดคล้องกันกับร่างกายจึงสามารถดำรงอยู่ได้ อย่างปกติ ดังนั้นเราควรดูแลรักษาสุขภาพร่างกาย โดย
1.รักษาอนามันส่วนบุคคล คือ ถ่ายอุจจาระเป็นเวลา การอาบน้ำให้สะอาดทุกวัน สระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น
2.บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้งหรือมากกว่านั้น
4.พักผ่อนให้เพียงพอ วัยรุ่นควรนอนหลับวันละ 8-10 ชั่วโมง
5.ทำจิตใจให้ร่าเริงอยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจควรหาทางผ่อนคลาย หรือหาคนที่ให้คำปรึกษาได้ดี
6.หลีกเลี่ยงอบายมุขและสิ่งเสพติดให้โทษ เพราะจะทำลายสุขภาพ
7.ควรตรวจเช็คร่างกาย เช่นชั่งน้ำหนักเป็นประจำและควบคุมน้ำหนักควรเช็คร่างกายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
           ร่างกายของคนเราประกอบด้วยระบบอวัยวะหลายระบบเช่น
1.ระบบประสาท คือ ระบบที่ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาททั่วร่างกาย ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและการรับความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วน สมองและไขสันหลังจะเป็นศูนย์กลางคอยรับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าทั้งภายในและ นอกร่างกาย แล้วส่งกระแสคำสั่งผ่านเส้นประสาทที่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
  องค์ประกอบของระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ระบบประสารทส่วนกลาง และระบบประสาทส่วนปลาย
     ระบบประสาทส่วนกลาง
1.สมอง มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ1.4กิโลกรัม แบ่งออกเป็น2ชั้นคือ ชั้นนอกมีสีเท่าเรียกว่า เกรย์แมตเตอร์ เป็นที่รวมของเซลล์ประสาท และแอกซอนชนิดไม่มีเยื่อหุ้ม ส่วนชั้นในเป็นสีขาว เรียกว่าไวท์แมตเตอร์ คือส่วนของใยประสาท
           -แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย
1.สมองส่วนหน้า ประกอบด้วย
-ซีรีบรัม ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ ไหวพริบ ความรู้สึกรับผิดชอบ
-ทาลามัส ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทรับความรู้สึก
-ไฮโพทาลามัสทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
2.สมองส่วนกลาง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลูกตาและม่านตา
3.สมองส่วนท้าย ประกอบด้วย
-ซีรีเบลลั่ม ทำหน้าที่ดูแลการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ระบบกล้ามเนื้อ
-พอนส์ ทำหน้าที่ควบคุมการเคี้ยวอาหาร การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ควบคุมการหายใจ การฟัง
-เม ดัลลา ออบลองกาตา ควบคุมการเต้นของหัวใจ การไอ การจาม ตอนปลายของสมองส่วนนีเชื่อมต่อกับไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาทระหว่างสมองกับไขสันหลัง
ไขสันหลัง ทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากส่วนต่างๆของร่างกายต่อไปยังสมอง และรับกระแสประสาทตอบสนองจากสมองเพื่อไปยังอวัยวะต่างๆ
      ระบบประสาทส่วนปลาย ประกอบด้วย
1.เส้นประสาทสมอง 12 คู่            
2.เส้นประสาทไขสันหลัง 31 คู่           
 3.ประสาทระบบอัตโนมัติ
 เราควรดูแลระบบประสาทโดยระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนศีรษะ ระวังไม่ให้เกิดโรคทางสมอง หลีกเลี่ยงยาที่มีผลต่อสมองรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่เครียด เป็นต้น
2.ระบบสืบพันธุ์
-อวัยวะสืบพันธ์เพศชาย ประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้
1.อัณฑะ สร้างอสุจิ สร้างฮอร์โมนเพศชาย
2.ถุงหุ้มอัณฑะ ควบคุมอุณหภูมิให้พอเหมาะในการสร้างตัวอสุจิ
3.หลอดเก็บตัวอสุจิ เก็บตัวอสุจิที่เจริญเต็มที่
4.หลอดนำอสุจิ ลำเลียงอสุจิไปไว้ในต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ
5.ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิ สร้างอาหารเพื่อใช้เลี้ยงตัวอสุจิ
6.ต่อมลูกหมาก หลั่งสารที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆเข้าไปในท่อปัสสาวะเพื่อทำลายกรดในท่อปัสสาวะ
7.ต่อมคาวเปอร์ หลั่งสารหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะที่เกิดการกระตุ้นทางเพศ
อวัยวะสืบพันธ์เพศหญิง
1.รังไข่ ผลิตไข่ สร้างฮอร์โมนเพศหญิง
2.ท่อนำไข่หรือปีกมดลูก - เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้ามดลูก
3.มดลูก เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว และเป็นที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์
4.ช่องคลอด เป็นทางผ่านของอสุจิเข้ามดลูก เป็นทางออกของทารกเมื่อครบกำหนดคลอด
            ดัง นั้น เราควรดูแลระบบสืบพันธ์โดย ดูแลร่างกายให้แข็งแรงสม่ำเสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ ทำความสะอาดร่างกายอย่างทั่วถึง สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดไม่ใช้เสื้อผ้าร่วมกับผู้อื่น ไม่สำส่อนทางเพศ
3.ระบบต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนในร่างกาย มีดังนี้
1.ต่อมใต้สมอง สร้างฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระดูก สร้างฮอร์โมนที่ทำให้ปัสสาวะเป็นปกติ
2.ต่อมหมวกไต สร้างฮอร์โมนอะดีนาลิน สร้างฮอร์โมนควบคุมการเผาผลาญอาหาร
3.ต่อมไทรอยด์ หลั่งฮอร์โมน ไทรอกซิน
4.ต่อมพาราไทรอยด์ สร้างฮอร์โมนพาราฮอร์โมนที่ควบคุมปริมาณของแคลเซียมในเลือด รักษาความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย
5.ต่อมที่อยู่ในตับอ่อน สร้างฮอร์โมงอินซูลิน ซึ่งควบคุมปริมาณน้ำตาลในร่างกาย ถ้าขาดฮอร์โมนชนิดนี้จะทำให้เป็นเบาหวาน
6.รังไข่ สร้างฮอร์โมนเพศ
7.ต่อมไทมัส ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
    ดัง นั้นเราควรดูแลระบบต่อมไร้ท่อโดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พักผ่อนให้เพียงพอ